สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศเล็ก ๆ ในยุโรปที่ต้อนรับนักศึกษาต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลก เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านมหาวิทยาลัยที่ยอดเยี่ยม ศูนย์การวิจัยที่ก้าวล้ำ และความมุ่งมั่นในการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น นักเรียนในเมืองต่าง ๆ เช่น ซูริกและเจนีวา สามารถเข้าถึงหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ โรงละคร และสถานที่แสดงดนตรีสดได้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ เช่น เทือกเขาแอลป์ก็อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง
นอกจากนี้ยังมีสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งตั้งอยู่ใจกลางเทือกเขาแอลป์ บางสถาบันสามารถมองเห็นวิวของหุบเขาและยอดเขาสูงตระหง่านได้จากหน้าต่างห้องเรียน! ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริงในฐานะนักเรียนต่างชาติ ต่อไปนี้คือเหตุผล 9 ประการในการมาเรียนที่สวิตเซอร์แลนด์
1. นวัตกรรม (Innovation)
สวิตเซอร์แลนด์ได้รับเลือกให้เป็นประเทศที่มีนวัตกรรมมากที่สุดถึง 8 ปีซ้อนโดย Global Innovation Index ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องส่วนใหญ่มาจากสามสิ่ง นั่นก็คือ มหาวิทยาลัยที่ยอดเยี่ยม การลงทุนขนาดใหญ่ในการวิจัยและพัฒนา และโครงสร้างพื้นฐานที่มีมาตรฐานระดับโลก
สวิตเซอร์แลนด์กำลังกลายเป็นศูนย์กลางของยุโรปสำหรับเทคโนโลยี Cryptocurrency และ Blockchain โดยเมือง Zug ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของซูริก มักจะถูกเรียกจากคนในวงการว่า ‘Crypto Valley’ และเป็นฐานของยุโรปสำหรับ Ethereum ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักในแวดวงบล็อคเชน
2. ความยั่งยืน (Sustainability)
ในปี 2015 ในขณะที่หลายประเทศยังคงถกเถียงกันเกี่ยวกับสนธิสัญญาปารีส ซึ่งเป็นข้อตกลงด้านสภาพอากาศ สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศแรกในโลกที่ยื่นแผนภูมิอากาศต่อสหประชาชาติเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจนถึงปี 2030 สวิตเซอร์แลนด์กำลังตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือเป็น 0 ภายในปี 2050
Klook.comขณะนี้ทางรัฐบาลกำลังปรับปรุงกฎหมายสำคัญ ๆ เพื่อช่วยกำหนดมาตรการใหม่ ซึ่งรวมถึงการจัดเก็บภาษีคาร์บอนที่เพิ่มขึ้น และการระดมทุนเพิ่มเติมสำหรับภาคพลังงานหมุนเวียนและโครงการต่าง ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รัฐบาลสวิสหวังว่าสิ่งนี้จะจูงใจให้ผู้ประกอบการเกิดความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
3. ความหลากหลาย (Diversity)
ในฐานะศูนย์กลางทางการเงิน เทคโนโลยี และนวัตกรรมระดับโลก สวิตเซอร์แลนด์ได้ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก สร้างบรรยากาศความเป็นสากลอย่างชัดเจนภายในเมืองใหญ่ ๆ โดยมีภาษาราชการถึง 4 ภาษา คือ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี และโรมานซ์ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกภูมิภาคยังใช้ภาษาถิ่นซึ่งอาจจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย คุณอาจจะได้ยินผู้คนพูดภาษาอังกฤษโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจ
ในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย และในเมืองใหญ่ เช่น ซูริก เจนีวา และเบิร์น ในมหาวิทยาลัยของรัฐส่วนใหญ่จะสอนเป็นภาษาฝรั่งเศสและเยอรมันเป็นหลัก แต่ก็จะเปิดสอนหลักสูตรที่สอนเป็นภาษาอังกฤษด้วย ทำให้สามารถดึงดูดนักศึกษาต่างชาติหลายพันคนในแต่ละปี เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมและทำให้วิทยาเขตมีชีวิตชีวาขึ้น อย่างเช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยเจนีวาทั้งหมดประมาณ 16,000 คน ประมาณ 40% ของทั้งหมดเป็นนักศึกษาต่างชาติ
4. โอกาสในการเรียนภาษา
ในฐานะที่เป็นประเทศที่ผู้คนพูดหลายภาษา สวิตเซอร์แลนด์จึงเป็นสถานที่ที่ดีในการเรียนรู้ภาษาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ทำให้ตัวเลือกด้านอาชีพหลังจบการศึกษาของคุณเพิ่มขึ้นอย่างมาก เยอรมนีมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปซึ่งเต็มไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ การธนาคาร และด้านการผลิต มีโปรแกรมการฝึกอบรมนักศึกษาฝึกงานที่ยอดเยี่ยม ภาษาฝรั่งเศสเป็นอีกภาษาที่มีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพในธุรกิจระหว่างประเทศ ซึ่งภาษาฝรั่งเศสนั้นก็เป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นอันดับสองในสหภาพยุโรป และเป็นภาษาราชการของ 29 ประเทศทั่วโลก เช่น แคนาดา เบลเยียม และมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตในแอฟริกา เช่น แทนซาเนีย รวันดา และโมซัมบิก
Klook.comการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้ภาษาใหม่สามารถเพิ่มพลังสมองของคุณ เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจในการคิดแบบใหม่ งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในนิวยอร์กไทม์ส (New York Times) ชี้ให้เห็นว่าการได้มาซึ่งทักษะทางภาษาเพิ่มเติมสามารถป้องกันสมองของคุณจากผลกระทบที่เสื่อมโทรมของวัยชราได้
5. วิวทิวทัศน์อันสวยงามและกีฬาฤดูหนาวที่น่าตื่นเต้น
ในช่วงปิดเทอมหรือช่วงวันหยุดต่าง ๆ นักศึกษาต่างชาติในสวิตเซอร์แลนด์จะได้มีโอกาสในการเดินทางสำรวจหนึ่งในประเทศที่สวยงามที่สุดในโลก พวกเขาสามารถเพลิดเพลินไปกับการล่องเรือข้ามทะเลสาบเจนีวา หรือเยี่ยมชมน้ำตกไรน์ ซึ่งเป็นน้ำตกที่ทรงพลังที่สุดในยุโรป
นอกจากนี้ยังสามารถใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์เพื่อเยี่ยมชมความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของเทือกเขาแอลป์ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ได้แก่ ภูเขา Matterhorn ที่มีความสูง 4,478 เมตร ธารน้ำแข็งยุคก่อนประวัติศาสตร์ เช่น Eiger Glacier ซึ่งมองเห็นได้จากหอสังเกตการณ์ Piz Gloria และทางรถไฟที่ไต่เขาขึ้นไปยังยอด Jungfrau ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟเก้ากิโลเมตรที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยจะไต่เขาเพิ่มขึ้นจากความสูง 2,061 เมตร ที่ Kleine Scheidegg เหนือสันเขาแล้วผ่านใจกลางภูเขาลอดไปในอุโมงค์ไปยังสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป นั่นก็คือ Jungfraujoch ที่ความสูง 3,466 เมตร!
เทือกเขาแอลป์เป็นจุดหมายปลายทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับแฟนกีฬาฤดูหนาว นอกจากการเล่นสกีและสโนว์บอร์ดแล้ว ผู้ที่ชอบความตื่นเต้นยังสามารถลองเล่นแคร่เลื่อนหิมะและร่อนด้วยสกี (Ski-gliding) ในขณะเดียวกัน เส้นทางเดินบนน้ำแข็งนั้นก็เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการผจญภัยและไม่กลัวที่จะออกนอกเส้นทางจากฝูงชนกลุ่มใหญ่ที่กำลังเล่นสกีอยู่ มีเส้นทางเดินป่ามากมายที่ทางรัฐบาลได้มีการจัดการที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่ชอบเดินป่า
6. การท่องเที่ยวและการต้อนรับขับสูจากผู้คนในท้องถิ่น
ด้วยทิวทัศน์อันสวยงามและกิจกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับนักเดินทาง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่สวิตเซอร์แลนด์จะเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวและการต้อนรับ (Tourism & hospitality) และยังเป็นผู้นำในการศึกษาในด้านนี้ด้วย แท้จริงแล้ว สวิตเซอร์แลนด์ถือได้ว่าเป็นแหล่งกำเนิดของวิชาการโรงแรม (Hospitality)
ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานในพื้นที่แห่งนี้ซึ่งมีอายุประมาณ 150 ปี เมื่อมีการสร้างโรงแรมขนาดใหญ่ทั่ว Montreux Riviera ซึ่งเป็นการประกาศการเริ่มต้นของการท่องเที่ยวที่หรูหราในประเทศ มีสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยและมีแรงดึงดูดของการผจญภัยไปในที่ต่าง ๆ ราชวงศ์จากต่างประเทศมักเดินทางมาพักผ่อนที่สวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากอุตสาหกรรมการบริการที่นี่ได้ตอบสนองความต้องการที่เข้มงวดของพวกเขา
โดยในส่วนของ Hospitality ได้มีการวางรากฐานสำหรับอุตสาหกรรมการบริการของสวิตเซอร์แลนด์จากอดีตจนถึงอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในทุก ๆ ปี
7. สถานที่สร้างอาชีพ
ประมาณ 25% ของแรงงานในสวิตเซอร์แลนด์เป็นชาวต่างชาติ รวมถึงอดีตนักศึกษาต่างชาติจำนวนมากที่เลือกที่จะอยู่ต่อหลังจากสำเร็จการศึกษา…แล้วเหตุใดพวกเขาจึงตัดสินใจสร้างอาชีพในสวิตเซอร์แลนด์กันล่ะ?
หนึ่งในเหตุผลนั้นก็คือ ธุรกิจชั้นนำที่ติดอันดับ Fortune จาก 500 แห่ง มีจำนวน 14 แห่งที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ นอกจากนี้ บริษัทต่างๆ เช่น Nestlé, Adecco Group และ Glencore International มีความสัมพันธ์ในการทำงานอย่างใกล้ชิดกับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ Winfried Ruigrok ซึ่งเป็นคณบดีของ St Gallen Executive School of Management กล่าวว่า “พวกเขามาหาเราเพื่อสรรหาบุคลากร พวกเขากระตือรือร้นที่จะร่วมงานกับเรา อาจเป็นเพราะเรามีแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวด”
แนวทางการปฏิบัติแบบนี้จะถูกพิจารณาจากวิธีการ ระบบ และการปฏิบัติทางวิชาชีพผ่านการฝึกฝนทั้งจากการฝึกในห้องเรียนและในสถานที่จริง ซึ่งเป็นแนวทางที่นิยมในโรงเรียนธุรกิจของสวิสหลายแห่ง
8. เครือข่ายทางสังคมและธุรกิจ
การสร้างเครือข่ายเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันและนวัตกรรม นั่นเป็นเหตุผลที่องค์กรต่างๆ เช่น Geneva Women in International Trade (GWIT) จัดงานเป็นประจำเพื่อรวบรวมความคิดทางธุรกิจที่ดีที่สุด โดย GWIT เป็นการรวบรวมสตรีที่เป็นมืออาชีพ มีความกระตือรือร้นและมีความหลากหลายมุมมอง จากบริษัทสตาร์ทอัพเอกชน บริษัทข้ามชาติ ภาครัฐ และเอ็นจีโอ จำนวน 300 แห่ง
Klook.comสมาชิกจะมารวมตัวกันอย่างไม่เป็นทางการประมาณเดือนละครั้งเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ตามด้วยการนำเสนอจากวิทยากรรับเชิญ กิจกรรมเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการสนทนาที่มีความหมายมากขึ้น และโอกาสในการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจของกันและกัน
9. ความปลอดภัยและความมั่นคง
ในสวิตเซอร์แลนด์ มีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำและอาชญากรรมรุนแรงนั้นหายากมาก นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่สะอาดที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วยมีเครือข่ายการขนส่งสาธารณะที่ดีเยี่ยม และระบบสุขภาพมาตรฐานระดับโลก
ชาวสวิสมีมาตรฐานการครองชีพที่สูง มีระดับความเป็นอยู่ที่ดีและสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก รัฐบาลเปิดกว้าง โปร่งใส และรับผิดชอบอย่างเต็มที่ พลเมืองสวิสสามารถประท้วงกฎหมายที่รัฐบาลร่างขึ้นใหม่ได้หากรวบรวมลายเซ็นจาก 50,000 รายชื่อภายในสิบวันนับจากวันที่ประกาศผ่าน ลายเซ็นมากกว่า 50,000 รายชื่อก่อให้เกิดการลงคะแนนเสียงในระดับชาติ โดยที่กฎหมายใหม่จะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธโดยเสียงข้างมาก